เปิดไทม์ไลน์อยุธยา สมัยพระเจ้าท้ายสระ อีกกี่ปีกรุงแตก?
อยู่เมืองพริบพรีรอดข้าศึกไหม
ละคร “พรหมลิขิต” จบลงด้วยบทสรุปที่ยาวนาน ภาพรวมของละครนี้ถือเป็นบทสรุปของประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยนำเสนอเรื่องราวในรัชสมัยของสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระหรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 ที่ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2251 – พ.ศ. 2275 โดยกรุงศรีอยุธยาล่มสลายหลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคตไปแล้วถึง 35 ปี
เนื้อเรื่องละครนี้กล่าวถึงการอพยพย้ายของตัวละครหลัก อาทิการะเกดและพุดตาน ซึ่งได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองพริบพรีก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะถูกพม่าตีแตกและต้องสูญเสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 โดยละครจบลงด้วยการสรุปเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในช่วงนั้น
บทสรุปของละครนี้ได้รับความสนใจจากผู้ชมและชาวโซเชียลมีเดีย ซึ่งเขาได้มีการวิเคราะห์และวิจารณ์ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ในช่วงนั้น การเสนอความคิดเห็นและการวิพากษ์วิจารณ์เป็นที่น่าสนใจ เนื่องจากละครนี้เกี่ยวข้องกับบทบาทที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ ซึ่งเป็นปีเสาครองราชย์ที่ 9 และกรุงศรีอยุธยาที่ได้ถูกทำลายในอดีต
ละครนี้จึงได้รับการตีความและพูดถึงอย่างแพร่หลายในสื่อออนไลน์ โดยผู้ชมได้แสดงความเห็นในลักษณะของความคาดหวังและความผิดหวังต่อการจบลงของละครนี้ นอกจากนี้ยังมีการเน้นความสนใจในเรื่องของประวัติศาสตร์และวิพากษ์วิจารณ์ต่อบทบาทของตัวละครหลักในละคร ความสนใจทางประวัติศาสตร์และการวิจารณ์ที่คอยติดตามล่าสุดนี้เป็นที่น่าสนใจมากในวงการละครไทย
ลำดับเหตุการณ์สำคัญในช่วงปลายของอยุธยา
ในปี พ.ศ. 2275 สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระเสด็จสวรรคต ภายหลังจากที่เจ้าฟ้านเรนทร์ (กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์) เจ้าฟ้าอภัย และ เจ้าฟ้าปรเมศร เจริญพระชันษาขึ้นแล้ว พระเจ้าท้ายสระได้แสดงพระราชประสงค์ที่จะให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอได้รับราชสมบัติต่อจากพระองค์ แต่เจ้าฟ้ากรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ มองเห็นว่า พระราชบิดาได้รับราชสมบัติเพราะกรมพระราชวังบวรฯ ถวาย เมื่อสิ้นรัชกาลแล้ว ควรคืนราชสมบัตินั้นให้แก่กรมพระราชวังบวรฯ ผู้เป็นอาตามเดิม จึงเกิดการขัดแย้งระหว่างอาและหลาน กลายเป็นสงครามกลางเมืองต่อสู้แย่งชิงราชบัลลังก์ ที่ครอบครัวหลานเจ้าท้ายสระต้องเผชิญหน้ากันอย่างไม่น้อย ราวกับประการใด
การสงครามนี้เรียกว่า “สงครามหลวง” และมีระยะเวลาประมาณ 1 ปี โดยสุดท้าย เจ้าฟ้าพร เป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ ภายหลังจากเหตุการณ์นี้ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลจึงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. 2276 และเสมือนกับได้บอกรับทรงความปลอดภัยทั้งหมดที่ทำให้ได้รอดพ้นจากการสูญเสียกรุง
ในปี พ.ศ. 2301 พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต พระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) สละราชสมบัติให้แก่พระเชษฐา ที่คือ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ หลังจากครองราชย์เพียง 3 เดือน และเสด็จออกผบวช
ในเวลาต่อมา, พ.ศ. 2302-2303 พระเจ้าอลองพญาแห่งพม่าทำการยกทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา ขุนนางราษฎรจึงพากันไปกราบทูลวิงวอนสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรให้ลาพระผนวชออกมาเพื่อช่วยป้องกันพระนคร ตามพงศาวดารไทยระบุว่า พระองค์สวรรคตเพราะปืนใหญ่แตกที่วัดหน้าพระเมรุ ในขณะที่พงศาวดารพม่าระบุว่าสวรรคตเพราะประชวร ทำให้อยุธยายังรอดพ้นจากการเสียกรุง
ในปี พ.ศ. 2309 พระเจ้ามังระ รวมทั้งมังมหานรธาและเนเมียวสีหบดี ได้รับพระราชสมบัติและเกียรติยศ จากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เพื่อยกกองมาตีกรุงศรีอยุธยา การยกกองมาตีครั้งนี้ได้รับการเตรียมพร้อมตั้งแต่ พ.ศ. 2307 และมีการกำหนดเส้นทางการเข้าตีมาอย่างดี โดยแบ่งเป็น 2 เส้นทาง คือ เส้นทางใต้ และเส้นทางเหนือ
พ.ศ. 2310 เป็นปีที่เกิดการสูญเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน ตรงกับวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 ที่เป็นวันประวัติศาสตร์ที่ตกลงต้องจดจำในหัวใจของประชาชนไทย
เพชรบุรี (พริบพรี) ในสงครามเสียกรุงครั้งที่ 2
ในปี พ.ศ. 2302, พระเจ้าอลองพญาเสด็จยกทัพมาโจมตีกรุงศรีอยุธยา โจมตีจากเมืองรัตนสิงห์ราชธานีในกลางปี 2302 ลงมาเมืองร่างกุ้ง พระเจ้าอลองพญาทรงทราบข่าวว่าสยามได้ยึดเมืองทวายอีกครั้งและเรือการค้าของพม่าที่เมืองทวายถูกสยามยึดไว้ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2303, พระเจ้าอลองพญานำทัพเข้ายึดเมืองเมาะตะมะและเมืองทวายได้
ฝ่ายราชสำนักอยุธยาจึงจัดทัพมารับศึกพม่า ให้พระยายมราชเป็นทัพหลวง, พระยาเพชรบุรี (เรือง) เป็นทัพหน้า, พระยารัตนาธิเบศร์เสนาบดีกรมวัง รวมทั้งขุนรองปลัดชูเป็นกองอาทมาต ยกเป็นทัพหนุนไปอีกทัพหนึ่ง ทัพหน้าของพระเจ้าอลองพญานำโดยมังฆ้องนรธาและเจ้าชายมังระพระโอรสสามารถเข้ายึดเมืองมะริดและตะนาวศรีได้อย่างรวดเร็ว พระเจ้าเอกทัศน์มีพระราชโองการให้จัดทัพไปตั้งรับพม่าที่ทางท่ากระดานกาญจนบุรีและเชียงใหม่ด้วย ทั้งที่พม่ายกมาทางเมืองกุยบุรีทางเดียว แสดงถึงความข่าวสงครามที่ผิดพลาดและไม่แม่นยำ
ในปี พ.ศ. 2310 เป็นปีที่เกิดการสูญเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน ตามวันที่ 7 เมษายน 2310 ที่เป็นวันประวัติศาสตร์ที่ตกลงต้องจดจำในหัวใจของประชาชนไทย ในวันนั้น, พระเจ้ามังระ รวมทั้งมังมหานรธาและเนเมียวสีหบดี ได้รับพระราชสมบัติและเกียรติยศ จากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เพื่อยกกองมาตีกรุงศรีอยุธยา การยกกองมาตีครั้งนี้ได้รับการเตรียมพร้อมตั้งแต่ พ.ศ. 2307 และมีการกำหนดเส้นทางการเข้าตีมาอย่างดี โดยแบ่งเป็น 2 เส้นทาง คือ เส้นทางใต้ และเส้นทางเหนือ
หลักฐานในพงศาวดารม่าระบุว่า กองทัพของมหานรธาประกอบด้วยทัพช้าง 100 ทัพม้า 1,000 และพลเดินเท้า 20,000 โดยมีเนเมียวกุณเย๊ะ และคุเชงยานองจอ ติดตามไปเป็นปลัดทัพ กองทัพทั้งหมดเคลื่อนไปสมทบกับกำลังอีกส่วนหนึ่งซึ่งพงเกณฑ์จากเมืองหงสาวดี เมาะตะมะ ตะนาวศรี มะริด และทวาย รวมกำลังแล้วทั้งสิ้นกว่า 30,000 กำลังทั้งหมดนี้เคลื่อนออกจากเมืองทวายในวันที่ 25 กันยายน 2308 โดยมีเป้าหมายมุ่งเข้าตีเมืองเพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ไทรโยค และสวานโป ก่อนจะพุ่งเข้าตีกรุงศรีอยุธยา
ในเดือนพฤษภาคม 2309, มังมหานรธาที่เมืองทวายส่งทัพหน้า 5,000 คน นำโดยเมฆราโบและติงจาแมงข่อง ยกทัพเข้ามาทางเมืองกาญจนบุรี โจมตีทัพสยามของพระพิเรนทรเทพที่กาญจนบุรีแตกพ่ายกลับมา จากนั้นทัพพม่าจึงแยกย้ายกันไปโจมตีเมืองเพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี เนื่องจากกรุงศรีอยุธยาไม่มีอำนาจไม่สามารถควบคุมหัวเมืองรอบนอกได้ ฝ่ายพม่ามีกลยุทธว่าหากเมืองใดไม่ต่อสู้ยอมอ่อนน้อมต่อพม่าก็จะไม่ทำอันตราย เพียงแต่กะเกณฑ์ผู้คนเสบียงอาหารใช้ในกองทัพโดยไม่ลงโทษ แต่ถ้าเมืองใดขัดขืดต่อสู้พม่าก็จะโจมตีเข้ายึดโดยใช้กำลัง
นอกจากนี้, พม่ายังใช้การกระจายกำลังออกเกลี้ยกล่อมผู้คนพลเมืองทั่วไปในท้องถิ่นภาคกลางฝั่งตะวันตก ลุ่มน้ำเจ้าพระยา จึงทำให้คนไทยที่เดือดร้อนไปเข้ากับพม่าเป็นอันมาก
พงศาวดารพม่าระบุว่า ฝ่ายสยามเมืองเพชรบุรี กาญจนบุรี และชุมพร ยกกำลังเข้าต่อสู้กับพม่า ในขณะที่เมืองราชบุรี สุพรรณบุรี และไชยา ไม่ต่อสู้เข้าอ่อนน้อมต่อพม่า ส่วนพงศาวดารไทยระบุว่า มีการสู้รบพม่าที่เมืองราชบุรี นำโดยเจ้าพระยาพระคลังสมุหนายก (พงศาวดารหมอบรัดเลเรียกว่า เจ้าพระยาจักรี คำให้การชาวกรุงเก่าเรียกว่า พระยาพิพัฒน์โกษา) ต้านทานพม่าได้หลายวัน ในการรบที่ราชบุรี จนกระทั่งวันหนึ่ง ทั้งทหารสยามและช้างศึกเมืองราชบุรีดื่มสุรามากเกินขนาด รบพุ่งซวนเซจนพม่าสามารถเข้ายึดเมืองราชบุรีได้สำเร็จ
พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฯ ระบุว่า “…ยกแยกกันไปตีเมืองราชบูรี เพชร์บูรี มิได้มีผู้ใดต่อรบ ยกครอบครัวหนีเข้าป่าไปสิ้น พม่าเที่ยวไล่ค้นจับผู้คนครอบครัวได้บ้าง…” สุดท้ายแล้วปรากฏว่าราษฎรชาวสยามหลบหนีเข้าป่าไปจำนวนมากจนพม่าต้องติดตามจับกุมเข้ามา
เพชรบุรี ได้ชื่อว่าเป็น “อยุธยาที่ยังคงมีชีวิต” เหตุด้วยยังคงมีงานศิลปะและสถาปัตยกรรมที่สืบทอดมาจากสมัยอยุธยา
เจ้าเมืองเพชรบุรีคนสุดท้ายในสมัยกรุงศรีอยุธยา
พระยาเพชรบุรี มีนามเดิมว่า เรือง ตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ ตำบล บ้านสวนตาล หลังวัดพนัญเชิง เป็นพระญาติในสมเด็จกรมพระเทพามาตย์ราชชนนีในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และเป็นพระญาติกับเจ้าขรัวเงิน พระชนกในสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระอัครมเหสีในรัชกาลที่ 2 โดยพระยาเพชรบุรี (เรือง) นั้นสืบเชื้อสายมาแต่ตระกูลขุนนางที่รับราชการต่อเนื่องกันมาในราชสำนักหลายชั่วอายุคนแล้ว ทั้งยังเป็นตระกูลขุนนางซึ่งรู้จักกันเป็นอย่างดีในหมู่ราษฎรกรุงศรีอยุธยาเวลานั้น
เริ่มเข้ารับราชการโดยถวายตัวเป็นมหาดเล็กในกรมขุนพรพินิต (สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร) ต่อมาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเห็นฝีมือจึงขอตัวไปทำราชการอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งให้เป็นขุนนางฝ่ายทหาร ว่าราชการเมืองเพชรบุรี เมื่อ พ.ศ. 2275 และเป็นขุนนางจากราชสำนักอยุธยาคนสุดท้ายที่ได้ออกไปครองเมืองเพชรบุรี
พระยาเพชรบุรี เป็นนักรบที่เก่งกล้าสามารถ เลื่องลือว่าอยู่ยงคงกระพัน ในสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ กรมหมื่นเทพพิพิธ ร่วมกับเจ้าพระยาอภัยราชา พระยายมราช พระยาเพชรบุรี และหมื่นทิพเสนา วางแผนถอดสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ออกจากราชสมบัติ แล้วถวายให้สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรซึ่งทรงผนวชอยู่ครองราชย์ ต่อมาความทราบถึงสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ จึงมีพระราชโองการให้กุมตัวเหล่ากบฏ พระยาเพชรบุรีรู้ข่าวจึงพาทหารไปเชิญเสด็จกรมหมื่นเทพพิพิธ หนีออกจากพระนคร แต่ก็มาถูกจับ พระยาเพชรบุรีจึงต้องพระราชอาญาเฆี่ยนแล้วจำไว้
ต่อมาเมื่อพม่ายกทัพเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ มีรับสั่งให้ไปเชิญสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรลาผนวช แล้วมอบราชสมบัติให้ เมื่อพระเจ้าอุทุมพรได้ราชสมบัติแล้ว จึงมีรับสั่งให้ปล่อยตัว เจ้าพระยาอภัยราชา พระยายมราช และ พระยาเพชรบุรี ออกมารับราชการดังเก่า ต่อมาเมืองเมาะตะมะเกิดกบฎ พระยายมราชและพระยาเพชรบุรีจึงได้ไปปราบจนพวกมอญราบคาบ
ต่อมาเมื่อพม่ายกทัพเข้าตีกรุงศรีอยุธยาครั้งหลัง พระยาเพชรบุรีได้มีหน้าที่รักษากรุง ได้รบกับทัพพม่าที่ริมวัดสังฆาวาศแล้วถูกพม่าจับกุมได้ และถูกพม่าประหารเมื่อ เดือน 12 ปีจอ พุทธศักราช 2309
ขอบคุณบทความจาก : เมืองพริบพรี